17 พฤศจิกายน 2559

atonement แง่มุมหนึ่งที่ควรตระหนัก

การไม่พูดความจริงในบ้างครั้งอาจเป็นการทำลายชีวิต อนาคต ความสุข ของบางคนไปชั่วชีวิตของเค้า ไม่ว่าการไม่พูดความจริงของใครคนนั้นจะเกิดเพราะเหตุผลใดก็ตาม Atonement อีกแง่มุมจากหนังที่ควรตระหนักและอย่าให้มันเกิดขึ้นกับชีวิตจริงของใครเลย

เมื่อวานเราได้ดูหนังเรื่อง atonement เพราะเกิดจำได้ลางลางว่าเคยอ่านบทวิจารณ์ แต่ไม่รู้ว่ามันดีหรืออย่างไร เลยนั่งดูไปเรื่อย 

แว่บแรกตัวละครเด็กที่รับบทเป็นไบรโอนี่ ดูปั๊บก็รู้ได้ทันทีว่าบทของเธอคงจะไม่ใช่คนดีนัก แต่ไม่คิดว่าคนเขียนบทจะให้เธอทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุด แม้จะชดใช้ด้วยสิ่งใดก็ไม่อาจจะทำได้ หนังจะบอกว่าเพราะความที่เธอเป็นเด็กช่างเพ้อฝัน บวกกับความรู้สึกหลงใหลในตัวชายหนุ่ม จนทำให้เธออยากจะลงโทษเขาที่ไม่ตอบรับความรู้สึกของเธอ? แต่กลับไปสนองรักกับพี่สาวของเธอ?   

ส่วนความสัมพันธ์ของพี่น้อง  ถึงแม้จะมีหนึ่งฉากให้ได้เห็นว่าพี่น้องก็พูดคุยกันดี แต่โดยรวมๆ เรากลับไม่รู้สึกว่ามีความรักแบบพี่น้องอยู่ในความรู้สึกของทั้งคู่เลย นอกจากความเป็นปัจเจกของทั้งคู่เท่านั้น

ในฟากของไบรโอนี่เมื่อเป็นผู้ที่จะต้องชี้ชะตาตัดสินใจว่าจะยื่นความยุติธรรม หรือความโกรธแค้นให้กับชายที่เธอแอบหลงรัก (ทั้งที่ไม่ควรจะเป็นผู้มาเกี่ยวข้องใดๆ เลย) เราคิดว่าจิตใจของเธอคงมืดบอดจนมองไม่เห็นแสงสว่างใดเพราะเธอสามารถที่จะทำลายผู้ชายคนที่หลายปีต่อมาเธอแอบสารภาพว่าเธอแอบหลงรักเค้า ทั้งที่จริงแล้วการกระทำเช่นนี้มันไม่มีส่วนใดที่เรียกว่าความรักได้เลย  นอกจากความอิจฉา ทั้งความอิจฉาริษยาที่เกิดขึ้นแก่พี่สาวของตัวเอง และความเคียดแแค้นที่เกิดขึ้นแก่ฝ่ายพระเอกเท่านั้นเอง

ส่วนขบวนการยุติธรรมในสมัยนั้นก็ดูจะอ่อนน้อยเสียเหลือเกิน? เนื่องจากในหนังเองก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีการพยายามให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดแสดงหลักฐานความบริสุทธิ์ของตัวเองแต่อย่างใด
แบบนี้มันเรียกว่ายุติธรรมแล้วหรือ?

หนังอาจจะแอบกระซิบบอกเราว่าอย่าหาเลยความยุติธรรมบนโลกนี้ เพราะมันเป็นเพียงนามธรรม ดูช่วงท้ายๆ หนังสิ หลังจากที่ไบรโอนี่อยากจะไปแก้คำให้การว่าใครคือคนผิดจริง เธอก็พบว่าไม่สามารถทำอะไรคนคนนั้นได้แล้ว เพราะเขามีฐานะทางสังคม แล้วความยุติธรรมคำนี้มันมีขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อปลอบโยน หรือเป็นแสงสว่างริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์ให้ผู้ที่อยู่ในซอกหลืบเดินเข้าไปหา แล้วพบว่ามันเป็นประกายตาของสัตว์กินเนื้อที่จ้องจะเขมือบเหยื่อทุกเวลา

เมื่อบาปที่มันก่อกวนจิตใจของเธอมานาน  แต่ผู้ที่จะปลดเปลื้องบาปที่เธอได้อธรรมไว้ก็ถูกความตายมาพรากจากไปเสียแล้ว  ซึ่งเธอไม่สามารถเอาความยุติธรรมคืนให้แก่ชีวิตทั้งสองได้ เพียงเพราะเธอให้อารมณ์มาอยู่เหนือความจริง.....เมื่อครั้งโน่น..... ชีวิต อนาคตของคนทั้งคู่พังพินาศไปแล้ว เพราะคำให้การเท็จของเธอ เธอจึงเลือกที่จะเขียนนิยายให้ชีวิตของคนทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในช่วงท้าย ซึ่งเราเห็นว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแค่การปลอบโยนความรู้สึกบาปของตัวเธอเท่านั้นเอง!!!
  


23 กันยายน 2559

กลัวความตายไหม?

กลัวความตายไหม?
ยายจุ๋มจอมแสบโพสต์อยากจะเล่าเรื่องที่เคยรู้สึกกลัวแล้วก็อยากจะหลบเลี่ยงให้ได้
สมัยเป็นเด็กคิดว่าวันนึงตัวเองจะต้องตาย..แล้วมันเกิดความรู้สึก..พูดได้ตรงนี้เลยว่ากลัวสุดๆ มันนึกไม่ออกว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร ถูกห่อผ้า เราจะมืด อึดอัด นอนอยู่ในโลง แล้วยังไงอีก ร่างกายเน่าเปื่อย สิ่งที่เราไม่ชอบ ทั้งหนอนทั้งอะไร ที่จะมากัดกินร่างกายเรา แล้วยังมีสิ่งอื่นที่เราอาจจะจินตนาการไม่ถึง...
แล้วเราไม่ตายได้ไหม? เป็นความคิดที่สุดที่จะเป็นไปไม่ได้
เพราะเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครอยู่ไปเรื่อยๆ โดยไม่ตาย ขนมปังยังมีวันหมดอายุเลย
แล้ว...เราจะตายเมื่อไหร่?
นี้ยิ่งเป็นคำถามสุดหิน เพราะไม่มีใครเลยที่จะล่วงรู้วาระสุดท้ายของตัวเอง

2 ปีก่อนที่ประเทศซาอุดิอารเบีย ช่วงเวลาหลังเที่ยงตอนนั้นเรานอนหลับด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วแม่ก็มาปลุก เรารู้สึกตัวแล้ว แต่ร่างกายมันยังรู้สึกเพลีย อยากนอนต่อ มันก็ไม่ลืมตา แล้วมันก็สร้างเป็นภาพคล้ายความฝันขึ้นมาว่าเราลุก ไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเรียบร้อย แล้วก็มายืนละหมาด ในถ้ำแห่งหนึ่ง.....ระหว่างที่ทำละหมาดอยู่นั้นก็มีเงามาจากด้านหลัง 2 เงา แค่นั้นแหละร่างกายเราก็กระตุกแบบรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยจะรู้สึกได้ตั้งแต่เกิด เราเห็นร่างตัวเองนอนอยู่บนเตียง แต่เงาของตัวเองเด้งขึ้นมาตามแรงเหมือนถูกกระชากให้ลุกขึ้นด้วยแรงมหาศาล  หลังจากนั้นรู้สึกเหมือนร่างเบา เคว้งคว้าง พยายามมองว่าอยู่ที่ไหน เราเห็นสีดำ แล้วก็ค่อยเปลี่ยนเป็นสีชมพู แล้วจิตสำนึกเรามันบอกว่าเราตายแล้ว....เราเสียใจ ร้องไห้ แล้วก็บอกกับตัวเองว่าเราน่าจะตื่นตอนที่แม่ปลุกน่ะ อย่างน้อยก็ยังจะได้เห็นแม่ก่อน เราอยากบอกลาแม่ ตอนนั้นก็พยายามจะมองหาว่าเรายังอยู่ในห้องไหม  แม่คงยังไม่รู้ว่าเราตาย เราก็ปลอบใจตัวเองต่างๆ นานา และยังนึกเสียใจที่จะไมได้กลับบ้าน ทั้งที่อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับกันแล้ว

วินาทีต่อมา เราเกิดความคิดว่าลองหายใจหน่อยสิ  แล้วพอหายใจ...เฮ้ย...เราหายใจได้นี่...ยังไม่ตายนี่หว่า เราจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงทันทีเลย ไม่มีอาการขอนอนต่อแล้ว...

จากการกระตุกเราเจ็บบริเวณหน้าอก มาอีกหลายวันเลย


หลังจากนั้นเราเกิดคำถามกับตัวเองว่าถ้าเราไม่คิดที่จะลองหายใจ เราจะตายไปจริงๆ เลยใช่ไหม? หรือมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น