31 สิงหาคม 2558

อกหักอย่างไร....ให้เจ็บนิดเดียว

จากประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายพรรษาของยายจุ๋ม โดยเฉพาะเรื่องความรัก...ใช่แล้ว ความรักมันก็เป็นความรู้สึกชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นมันก็มีสิทธิ์ที่จะหมดรักกันได้ แบบไม่รู้จะไปตามโทษใคร ส่วนใครที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ของคนอกหัก รักตุ๊ด วันนี้ยายจุ๋มขอชี้แนะ อกหักอย่างไรให้เจ็บนิดเดียว

ยาจุ๋มจอมแสบ

คือว่าอกหักจะไม่เจ็บมันก็ไม่เรียกว่ารัก จริงม๊ะ..เพราะฉะนัันมันจำเป็นต้องเจ็บ แต่ห้ามเจ็บนาน

1. เมื่อคุณโดนบอกเลิก อยากร้องไห้ก็ร้องเลย แต่อย่ารั้ง อย่ายื้อให้เค้าอยู่ ทำไมน่ะหรือ เพราะคนที่มันหมดใจ มันก็คือหมดใจนั่นแหละ จะให้เค้าอยู่มันก็คงจะทรมานเค้า ส่วนเราก็ใช่ว่าจะมีความสุข? เพราะฉะนั้นร้องไห้ซะ เพื่อยืนยันว่าเรารักเค้า แต่อย่าขอร้องให้เค้าไม่ไป...คุณจะเข้าใจดีว่าทำไม ในวันที่คุณดีขึ้นแล้ว? และเมื่อร้องจนไม่เหลือน้ำตาให้ไหลออกมา ก็จงหยุดร้อง ข้อดี..เพื่อนๆ รู้ไหมว่าน้ำตานะช่วยให้ดวงตาเราสะอาดขึ้น

2.เชื่อว่าสาวๆ ไม่มีใครอยากมีริ้วรอย ยามอกหักถึงแม้จะเศร้าสักแค่ไหนก็ตามเรารู้ดีว่าสักวันนึงมันจะผ่านไปและกลายเป็นอดีต แต่สิ่งหนึ่งที่จะติดลึกอยู่บนใบหน้า โดยเฉพาะหัวคิ้ว คือริ้วรอย ไม่เชื่อ เพื่อนๆ ลองร้องไห้หน้ากระจกสิ จะะเห็นว่าหน้าเพื่อนๆ ยับมากแค่ไหน ถ้าเพื่อนๆ ได้เห็นใบหน้าตัวเองตอนร้องไห้ เพราะคนที่ไม่รัก และยิ่งกว่านั้นคือ ริ้วรอยที่เพื่อนๆ จะต้องกำจัดออกไปจากใบหน้าอันสดใส ซึ่งต้องใช้เม็ดเงิน .....และ...มันน่าเจ็บใจเสียจริง? ที่สภาพของเรายามอกหักนั้น แทบจะดูไม่ได้ หน้าตาหมองแต่งหน้าอย่างไรก็ไม่ใส ดวงตาบวมเปล่งอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นปล่อยเค้าไปแต่ตัว อย่าให้ความสวยของเราไปกับเค้าด้วย ซึ่งเป็นที่มาของข้อถัดไป คือ...

3. รักตัวเองสิ คนที่เค้าเอ่ยปากบอกเลิกกับเราน่ะ ร้อยทั้งร้อยมันหมดความรู้สึกรัก และไร้ความผูกพันใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว ใครกันจะบ้าทำร้ายตัวเอง บอกเลิกคนที่ตัวเองรัก ลองคิดดูสิ ถ้ามีคนแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ คนคนนั้นคงเป็นคนที่พิลึกน่าดู เมื่อเค้าไม่ต้องการความรักจากเรา เราก็กลับมารักตัวเองดีกว่า คนที่รักตัวเองนั้นจะดูสวย และมีเสน่ห์เสมอ ไม่เชื่อคุณลองดูในละครสิ ว่าคนที่ผิดหวังจากความรักแล้วประชดประชันตัวเองน่ะ มันน่าสมเพชขนาดไหน?

4. จัดปาร์ตี้ฉลองโสดกันเลยดีกว่า เวลาเราเรียนจบเราก็เสียใจที่เราจากเพื่อนๆ สถานศึกษา แต่เราก็ดีใจที่ได้เรียนจบ? และเรากำลังจะเริ่มต้นสิ่งใหม่  อีกครั้ง..ถ้าเราอกหักก็เหมือนกับต้นไม้สลัดดอก ดอกไม้อาจจะสวย แต่ไม่นานก็ต้องโรยราเพื่อออกผล มันเป็นความจริงน่ะ เมื่อสิ่งหนึ่งจากไปมันจะมีสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเกิดขึ้นแทน และอีกอย่างคุณจะได้มีโอกาสทำตัวสวยๆ ให้ใครที่แอบชอบคุณอยู่รู้ว่าคุณว่างแล้ว

5. ทำสวยมันซะเลย เปลี่ยนทรงผม เสื้อผ้า นวดหน้า เข้าสปา เล่นโยคะ ลั้ลลากับเพื่อนฝูง ก่อนหน้าที่เค้าจะบอกเลิก คุณเครียดกับเรื่องนี้มามากแล้ว? ร้อยละ 90 ละกัน เราคิดว่ารู้สถานะความรักของตัวเองว่ามันกำลังดำเนินไปในทางไหน และเมื่อเค้าตัดสินใจไปซะที ก็ถึงเวลาที่เราจะไม่ต้องไปนั่งเครียดว่าเค้าจะแอบมีใครไหม โกหกอะไรเราหรือเปล่า ปัญหาโรคจิตทั้งหลายแหล่ สารพัดที่ทำให้เราคิดที่ทำให้เราเครียด

6. อันนี้อาจจะเชยไปหน่อย แต่มันก็ยังใช้ได้นะ คิดถึงครอบครัว คนที่รักเรา พวกเค้ากำลังรอเราอยู่ และไม่ว่าเราจะทุกข์จะสุข พวกเค้ายินดีจะอยู่ให้กำลังใจ พ่อแม่ไม่เคยบอกเลิกเรา พี่ น้องก็ไม่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน

7. ตัดช่องทางการติดต่อของเค้าให้หมดสิ้นจะได้ไม่ต้องมารู้สึกแปลบปลาบหัวใจเวลาเห็นข่าวคราวที่ไม่อยากรู้

8. คิดเสียว่าเราได้ตายจากกันไปแล้ว

9 เก็บความทรงจำที่แสนดีเอาไว้ อย่าหวังว่าคุณจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะมันไม่มีทาง แต่ให้เลือกจดจำสิ่งที่ดีดีที่เรากระทำให้แก่กัน แต่เอาไว้คิดถึงตอนที่ทำใจได้แล้วจะดีกว่า...

10. เวลา เมื่อถึงเวลาบาดแผลจะถูกเยียวยา และหายไปเอง  เพราะฉะนั้นใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ มีสติอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นพอ ถ้าคิดถึงเค้าหรอ ก็แค่เอาเงินแบงค์ร้อย หรือแบงค์ยี่สิบ หรือเหรียบสิบ ตามอัตภาพละกัน ใส่กระปุกออมสินหนึ่งใบ วันนึงคิดถึงเค้าสักสิบครั้งคุณจะเก็บเงินได้เท่าไหร่  เวลาที่คุณหายดีแล้วก็แกะมันออกมานับ คุณอาจจะกลับไปขอบคุณเค้าที่ทำให้คุณมีเงินเก็บอีกก้อน

11.อย่าโทษตัวเอง มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น แต่มันเป็นเรื่องของอารมณ์ และความไม่เหมาะสมกันทางกายภาพ และมโนภาพ เมื่อเค้าไม่ต้องการเรา มันก็แค่เค้าไม่ต้องการ ไม่ว่าคุณจะดีแค่ไหนก็ตาม?

12. อย่าเสียดาย ไม่ว่าจะเสียดายที่เค้าหล่อ เค้าสวยเค้าดีอะไรก็ตาม เพราะบนโลกใบนี้มีประชากรนับพันล้านคน ย่อมมีคนที่ดีกว่านี้ และเค้าไม่มีวันจะทิ้งคุณ

และสุดท้าย 13. อย่าเพิ่งรีบมีคนใหม่ ทำไมน่ะหรอ ช่วงจังหวะที่คุณกำลังอยู่ในห้วงอารมณนี้ สติการคิดตริตรอง อาจยังไม่เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น คุณควรจะยับยั้งการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนไปก่อน เพราะการที่คุณพยายามหาใครมาแทนที่เพื่อจะได้ช่วยให้คุณมีความรู้สึกดีขึ้นนั้นสุดท้ายอาจกลายเป็นหลอกตัวเอง และเจ็บตัวเจ็บใจเพิ่มไปอีก


สุดท้ายขอให้เพื่อนๆ ที่กำลังอกหักอยู่หายไวไว และกลับมาสดใสแบบที่เคย อย่างน้อยถ้าสิ่งที่ยายจุ๋มนำเสนอจะช่วยให้ใครสักคนดีขึ้น ก็ถือว่ามันมีประโยชน์ที่ได้แบ่งปันแล้ว อย่าลืมนะ!!! คนที่รักตัวเองเป็นคนที่ดูดีที่สุด


28 สิงหาคม 2558

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ...หนึ่งโรคที่ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ


 กระเพาะปัสสาวะอักเสบ...หนึ่งโรคที่ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ


http://mygrandmam.blogspot.com/

ใครเคยป่วยด้วยอาการแบบนี้ยกมือขึ้น??  เป็นความบังเอิญของเรา ที่ยายจุ๋มจู่ๆ ก็มีอาการแบบนี้ขึ้นมา
ขอเกริ่นสักนิดว่า ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกินเข้าไปและถ่ายออกมา หากใครไม่เป็นเช่นนั้นก็จะต้องหาวิธีเอามันออกมา กินไม่ได้ก็เป็นปัญหา ถ่ายไม่ออกก็มีปัญหา ถ่ายออกมาแล้วสีแปลกๆ ก็มีปัญหา ยายไลน์มาให้เราช่วยหาข้อมูล ให้แกเรื่องสีของปัสสาวะ ยายจุ๋มว่าแกฉี่ออกมาเป็นสีคล้ายเลือด และก็เจ็บๆ แสบๆ ด้วย มันดูน่าตกใจมาก... ส่วนเราเองยังไม่รู้จักโรคนี้เลย


แกว่าช่วงนี้แกกินตรีผลา ที่เป็นสมุนไพรน้ำสีน้ำตาล รสชาติไม่ค่อยถูกใจวัยรุ่นเท่าไหร่ แต่มีสรรพคุณหลายอย่างมาก เราเลยต้องไปหาข้อมูลเพิ่มว่าไอ้เจ้าตรีผลา เนี่ยกินเข้าไปมันทำให้ฉี่ออกมาสีแดงหรือเปล่า แต่ไม่พบข้อมูล ได้รู้แต่เพียงว่ามันช่วยขับปัสสาวะ ก็บอกยายไปตามที่พบ

สุดท้ายแกก็ร้อนใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลแถวบ้าน ซึ่งหมอก็ยืนยันว่าจะให้แกตรวจอัลตร้าซาวด์ ซึ่งต้องมาตรวจสัปดาห์หน้า  เบื้องต้นอาจเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรืออาจเป็นมะเร็ง หมอให้เหตุผลว่าเนื่องจากอายุมากแล้ว ซึ่งยายอยากจะเล่าอาการ ให้ฟังด้วยแต่หมอเหมือนยังไม่พร้อมจะรับข้อมูลตอนนี้ จะขอเห็นผลอัลตร้าซาวด์ก่อน ข้อนี้ดูยายจะหงุดหงิดเป็นพิเศษ จนอีกสามสี่วันต่อมา แกยังคงเจ็บที่ท้องน้อยอยู่ ก็เลยไปที่ศูนย์แพทย์พัฒนาตรงพระรามเก้า ซึ่งยายบอกว่าคุณหมออายุมากแล้ว แต่ก็คล่องแคล่วต่อการซักถามอาการ แกแอบชมคุณหมอซะเสียงดัง
ยายแกกินยานอฟล๊อกซาซิน ไปก่อนหน้า พอคุณหมอทราบก็เลยบอกว่ายาอันนี้มันจะทำให้ดื้อยา และกลับมาเป็นอีก ก็ไม่รู้เพราะอะไร ยายแกว่าหมอพูดแบบนี้ ส่วนยายจุ๋มแกชอบกลั้นปัสสาวะ กินน้ำน้อย ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ คุณหมอเลยฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อที่สะโพก ให้แทนการจ่ายยามากิน พร้อมกับนัดดูอาการอีกครั้ง ท่าไม่ดีขึ้นหรืออย่างไรคงต้องอัลตร้าซาวด์
 
จริงๆ ถ้าทราบสาเหตุของการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเราก็สามารถจะระวังไม่ให้เกิดโรคนี้กับเราได้ เพราะเราเชื่อแล้ว..ว่าการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ.....จริงๆ น่ะ

19 สิงหาคม 2558

ป่วยนะ...มันทรมานจริงๆ น่ะ

ขอบคุณยายจุ๋มจอมแสบที่ช่วยให้เราสนใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น นึกย้อนกลับไปสงสัยตัวเองตอนเด็กเรานี่อยากป่วยเหลือเกินเป็นเพราะอะไร เพราะจะได้หยุดเรียนหรือเปล่า  หรืออาจเป็นเพราะก่อนนั้นเราเองยังไม่เคยป่วยหนักขนาดซึมซับได้ถึงความทรมานจากอาการป่วย จนเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เมื่อเราต้องตกเป็นเหยื่อของไข้เลือดออก การทรมานกับอาการไข้สูงจนหนาวสั่น เป็นชั่วโมง แล้วลดลงจนเหมือนปกติ สลับกับแบบนี้ ทำเราเพลียมาก จนเข้าวันที่ 3 แม่ให้เราไปโรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลดันบอกว่าเราป่วยไข้ธรรมดา แถมให้ยาแก้คันมาอีก นี่เราเป็นโรคผิวหนังเองหรอกหรือ..เรากลับออกจากโรงพยาบาลแบบงงๆ ตอนนั้นเราเดินเป๊กๆ แล้วแต่หมอไม่ได้ถามถึงความผิดปกตินี้เลย.ตรงกันข้ามกับสนใจซักไซร้ว่าผื่นแดงๆ นี้คันไหม คันอย่างไร คงคิดว่าเราเป็นคนที่ขาพิการแบบนี้อยู่แล้ว.และก็ให้เรากลับบ้าน

กว่าจะรู้ว่าเป็นไข้เลือดออกก็คงเป็นตอนที่เราตายแล้ว แต่..ยัง...เราโชคดีที่รอดจากอาการพีกมาได้จนเริ่มทุเลาเป็นผื่นตามตัว ตามแขน ตามขาชัดเจนขึ้น มาหาหมออีกที่ ใน 2 วันถัดมา ทีนี้เปลี่ยนเป็นคลีนิก ไม่ไปแล้วโรงพยาบาลจ่ายตังค์เองละกัน เลยได้รู้ว่ามันคือไข้เลือดออก ซึ่งเราอ่อนเพลียมากแล้ว กินอะไรไม่ได้มาหลายวัน เราไม่รู้ว่าคนป่วยคนอื่นเค้าจะหิวไหม แต่เราหิวมาก พอกินไปมันก็อาเจียนออกมาหมด  ตัวเหลือง หมดแรง เราพักรักษาตัวระยะหนึ่งก่อนออกเดินทางเข้าพื้นที่สำรวจ ที่จังหวัดตรัง ที่นั้นเราไปพบกับเจ้าหน้าสาธารณสุขโดยบังเอิญเลยได้คุยกันนิดหน่อย เค้าว่าที่เราเจ็บข้อมือ ข้อเท้า อาจมาจากยุงลายมันมีเชื้อชิกุนคุนยาด้วย..เลยถึงบางอ้อ.

นั่นคือความรู้สึกที่รับรู้ถึงความทุกข์ ทรมาน จากการเจ็บป่วย และได้รับรู้อีกว่าบางทีการรักษาพยาบาลก็ไม่สามารถทำได้ดีเท่าอย่างทีเราคิดหรอก

เราเลยเริ่มสนใจดูแลสุขภาพ พร้อมกับน้อมรับภาษิตที่ว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" อย่างเต็มหัวใจ ประกอบกับการคลุกคลีอยู่ในกลุ่มคนที่สนใจเรื่องสุขภาพอย่างยายจุ๋ม และเพื่อนๆ ของยายจุ๋ม ซึ่งล้วนแต่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากันแล้วทั้งนั้น พอเมื่อวานไปงาน Thailand Research Expo 2015 มันมีหัวข้อที่เห็นแล้วสะดุ้งอ่ะ "คนไทยยุคใหม่หนีไม่พ้นโรคหัวใจ ไต เบาหวาน" ฟังแล้วมันทรมานจิตมาก คือคำว่าหนีไม่พ้นเนี่ย มันหมดทางเลยใช่ไหม? ทุกคนต้องเป็นเหรอ อยากรู้ ๆ เพราะงั้นขอไปฟังหน่อย เผื่อมีทางหนีที่ไล่ ไม่อยากเป็นโรคอะไรแล้ว

ทางด้านการบรรยายประกอบการวิจัยที่ใส่รสชาติของภาษาวิชาแพทย์ สำหรับเราก็นั่งงงกันไป แต่ก็ฟังไว้ให้หูมันคุ้นๆ ส่วนเรื่องที่พอเข้าใจได้ก็เป็นการบรรยายในแง่ของการปฏิบัติตัว เราต้องอยู่ในสังคมที่ดี มีความปลอดภัยทางกาย ใจ มีความมั่นคง และเป็นคนดี จริงๆ สุขภาพดีก็ยังไม่มีขายอยากได้ต้องทำเอง ก็คือการไปออกกำลังกาย  ไปคิดบวก ถ้าตัวเองดี คนรอบข้างดี สังคมดี ประเทศก็ดี ช่วงนี้เราก็ระส่ำระสาย ไม่รู้อะไรกัน ความสงบสุขมันไม่เกิด ก็เลยเกิดอาการวิตกกังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถ้าหากโชคดีกินได้ อาหารที่กินเข้าไปเป็นอะไร ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีหรือเปล่า มันก็มีรายละเอียดลงไปอีก

การชวนเชื่อให้เกิดการบริโภคในสิ่งที่ไม่ส่งเสริมสุขภาพที่ดี ซึ่งเราก็รู้ว่ามันไม่ดีแหละ แต่มันอยากลองไง มันน่าจะไม่มีผลกับสุขภาพอะไรมากมายแค่ลองนิดหน่อย แต่เราก็เห็นแล้วจากตัวอย่างตามสื่อ ของจริงไกลตัว หรือใกล้ตัวก็ตาม ว่าต่อให้มีความมั่นใจว่าเอาอยู่แค่ไหน สุดท้ายก็อาจต้องพ่ายแพ้ต่อมัน

เรื่องของธุรกิจกับสุขภาพมันยังเป็นคนละเรื่องกันอยู่ ถึงบางอย่างจะบอกว่าเพื่อสุขภาพ แต่มันก็ต้องจ่ายแพงขึ้น  ขนมครกทั่วไป 1 กล่อง 20 บาท ถ้าเขียนว่าเพื่อสุขภาพ จะต้องควักเพิ่มอีก 10 บาทอะไรแบบนี้ ที่นี้เราเป็นคนบริโภคก็ต้องเลือกเอา ของดีไม่จำเป็นต้องราคาแพง และของแพงไม่แน่เสมอไปว่าเป็นของดีนะคะ

ส่วนที่เราคิดว่าสำคัญก็คือเราต้องเริ่มที่จะเลือกก่อนว่าเราอยากเป็นคนแบบไหนสุขภาพดี หรือไม่ดี เมื่อเลือกแล้ว ก็มาลงมือปฏิบัติ ซึ่งมันก็ง่ายแล้ว เพราะเรามีธงในใจแล้วนี่..จริงไหม??

สุดท้ายเราเอาแอปนี้มาฝากสำหรับประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยแสดงผลการประเมินเป็นความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และโรคเส้นเลือดสมองตีบตันในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าซึ่งจะใช้ผลเลือด หรือไม่มีผลเลือดก็เอาขนาดรอบเอวกับส่วนสูงมาใช้แทน  เพิ่งมาเห็นว่าแบบประเมินความเสี่ยงนี้ความใช้กับคนไทยที่มีอายุ 35-70 ปียังไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่เราก็ทำเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว


Thai CV risk score
Application : Android
โดยศูนย์หัวใจ หลอดเลือด และเมแทบอลิซึม คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล